วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันคริสมาส

คริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas; อังกฤษเก่า: Crīstesmæsse, หมายถึง "พิธีมิสซาของพระคริสต์") หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ (อังกฤษ: Feast of the Nativity) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู[6][7] เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรม ประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกจัดการเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม วันดังกล่าวเน้นปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ วันคริสต์มาสเป็นวันปิดเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ (Advent) และวันเริ่มต้นเทศกาลพระคริสตสมภพ (Christmastide) สิบสองวัน[8] คริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และมีผู้ที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนหันมาเฉลิมฉลองกันมากขึ้น[1][9][10] และเป็นส่วนสำคัญในคริสต์มาสและฤดูวันหยุด






งานปีใหม่ 2015



วันปีใหม่มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนทุก 4 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

วันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วสันตวิษุวัต

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วสันตวิษุวัติ กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินอื่น ๆ
สงกรานต์ เดิมกำหนดโดยการคำนวณทางดาราศาสตร์ คือวันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ตกประมาณวันที่ 13 หรือ 14 เมษายน แต่ปัจจุบันระบุแน่นอนว่า 13 ถึง 15 เมษายน
ตรุษไทย เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติไทย แต่ยกเลิกลงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และกำหนดให้ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่แทน
ตรุษจีน เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ตกประมาณวันที่ 20 กุมภาพันธ์ถึง 20 มีนาคม
ตรุษญี่ปุ่น เดิมใช้วันเดียวกับตรุษจีน แต่เมื่อ ค.ศ. 1873 ได้รับเอาปฏิทินเกรโกเรียนมาใช้ จึงเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคมแทน
ตรุษญวน เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเวียดนาม ตกประมาณวันที่ 20 มกราคมถึง 20 กุมภาพันธ์
เราะอส์ อัสซะนะฮ์ อัลฮิจญ์ริยะฮ์ เป็นวันที่เริ่มต้นเดือนมุฮัรรอม (เดือน 1) ตามปฏิทินฮิจญ์เราะฮ์ของอิสลาม วันที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ามีคนมองเห็นดวงจันทร์หรือไม่ ตามสถิติเมื่อเทียบกับปฏิทินเกรโกเรียนพบว่าวันนั้นร่นเข้าไปประมาณ 10 วันทุกปี
 ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ได้

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

งานไหม

ประวัติการจัดงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาด
จังหวัดขอนแก่น

  งานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น หรือที่นิยมเรียกกันว่า"งานไหม หรือ งานเทศกาลไหม” จัดขึ้นในครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๒ สมัยนายชำนาญ พจนา เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการจัดงานอยู่ ๒ คน คือ นายเอนก โรจน์ไพบูลย์ และนายจรินทร์ กาญจโนมัย ริเริ่มและผลักดันจนเป็นที่ยอมรับและได้รับความสนใจแพร่หลายจนทุกวันนี้

   การจัดงานครั้งแรกเมื่อพฤศจิกายน ๒๕๒๒ ใช้ชื่อว่า "งานเทศกาลไหมขอนแก่น” เนื่องจากยังไม่ได้รวมเอาประเพณีผูกเสี่ยวมาไว้ในงาน จนมาปี ๒๕๒๓ ได้นำประเพณีผูกเสี่ยวเข้ามาจัดร่วมกับงานเทศกาลไหม จากการริเริ่มของนายเลื่อน รัตนมงคล ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอเปือยน้อยในสมัยนั้น ซึ่งพิธีผูกเสี่ยวนี้ มีการจัดอย่างเป็นทางการที่กิ่งอำเภอเปือยน้อย และจังหวัดเล็งเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งส่งผลดีต่อการเมือง การปกครอง จึงนำมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานประจำปีของจังหวัด และให้เป็นชื่อของงานด้วย ตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ เป็นต้นมา คือ "เทศกาลไหมขอนแก่น และประเพณีผูกเสี่ยว ปี ๒๕๒๓ ”

    ต่อมาในปี ๒๕๒๔ และปี ๒๕๒๕ ได้ใช้ชื่องานว่า "เทศกาลไหมขอนแก่นและพิธีผูกเสี่ยว” ซึ่งการใช้ชื่องานจะมีการเปลี่ยนอยู่เรื่อย จนปี ๒๕๒๖ ได้มีการพิจารณาชื่อ เหตุผล และแสดงความคิดกันว่า ชื่อที่จะใช้เป็นชื่อของงาน มีการแสดงความคิดเห็น ๒ ประการ คือ

   ๑. คำว่า "ขอนแก่น” ที่ต่อจากเทศกาลไหม น่าจะอยู่ในตำแหน่งที่แสดงความเป็นเจ้าของทั้ง "งานไหมและผูกเสี่ยว” ถ้าหากคงไว้ตามเดิมก็อาจทำให้เข้าใจว่าเทศกาลไหม เป็นของจังหวัดขอนแก่น ส่วนประเพณีผูกเสี่ยวไม่ใช่ แต่ถ้าหากจะนำไปไว้หลังคำว่า "ประเพณีผูกเสี่ยว” ก็จะทำให้มีความรู้สึกว่าชื่อของงานซึ่งยาวอยู่แล้ว ยาวขึ้นไปอีก

   ๒. งานเทศกาลไหมนี้ "ดัง” พอสมควรแล้วและกำลังจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเป็นงานของจังหวัดใดเพียงบอกว่า "งานไหม” ก็ต้องเข้าใจทันทีว่าต้องไปขอนแก่น เป็นงานของขอนแก่น และที่สุดก็ได้ผลสรุปว่าใช้ชื่องานว่า "งานเทศกาลไหมขอนแก่นและพิธีผูกเสี่ยว”

   ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้เพิ่มคำว่า งานกาชาดเข้าไปด้วย จึงมีชื่องานว่า "งานเทศกาลไหมประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน พร้อมได้มีการเพิ่มวันจัดงานจากทุกปี ที่จัดเพียง ๗ วัน มาเป็น ๑๐ วันด้วย

มาปี ๒๕๒๘ ได้พิจารณางดกิจกรรมประเพณีผูกเสี่ยว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ชื่อของงานจึงเหลือเพียง "งานเทศกาลไหมและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น”

ปี ๒๕๒๙ พิธีผูกเสี่ยว ได้นำกลับมาจัดเป็นหลักของงานอีก จึงใช้ชื่องานเหมือนเดิม คือ "งานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น” และใช้มาจนทุกวันนี้ ( สมัยนั้น ถ้าหากมีการถามกันว่า ชื่อของการจัดงานประเพณีประจำจังหวัด ของจังหวัดใดมีชื่อยาวที่สุด คำตอบก็จะไม่พ้น
 "จังหวัดขอนแก่น” )

ปี ๒๕๓๒ ได้เพิ่มวันจัดงานอีก ๒ วัน ในวันที่ ๙ , ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๒ เพื่อนำรายได้เฉพาะ ๒ วันนี้ สมทบทุนปรับปรุงและบูรณะอนุสาวรีย์ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บริเวณสวนรัชดานุสรณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณจัดงานฯ ตั้งแต่นั้นมาการจัดงานจึงมี ๑๒ วันจนถึงทุกวันนี้

ปี ๒๕๓๕ - ๒๕๓๗ มีการย้ายสถานที่จัดงานจากที่เคยจัด คือจากสนามหน้าศาลากลางจังหวัดไปจัด ณ สนามกีฬากลางจังหวัด

ปี ๒๕๓๘ จนถึงปัจจุบัน การจัดงานกลับมาที่หน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่นเหมือนเดิม

วัตถุประสงค์หลักการจัดงาน

   การจัดงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น กำหนดตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน – ๑๐ ธันวาคม ของทุกปี รวม ๑๒ วัน ๑๒ คืนนั้น มีแนวทางการจัดงาน หรือประเด็นหลัก เน้นหนักใน ๓ ประการ คือ

ประการที่ ๑ งานเทศกาลไหม จะแสดงเอกลักษณ์ความสวยสดงดงามของลายผ้าไหมของชาวขอนแก่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมผ้าไหม ที่มากและสวยที่สุดในประเทศไทย

ประการที่ ๒ ประเพณีผูกเสี่ยว ถือเป็นประเพณีพื้นบ้านสืบทอดกันมานาน จนเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น แสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน ประดุจพี่น้อง

ประการที่ ๓ งานกาชาดจังหวัด เป็นองค์กรหลักสำคัญในการสงเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ เป็นองค์กรที่จะส่งเสริมโอกาสทางสังคมให้กับพี่น้องประชาชน

มาปี ๒๕๔๕ มีการเพิ่มวันจัดงานอีก ๒ วัน คือ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ถึง วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๕ รวม ๑๔ วัน

ในปี ๒๕๔๖ กำหนดจัดงาน ๑๒ วัน เช่นเดิมแต่มีการปรับเปลี่ยนวันให้เร็วขึ้น เนื่องจากจะมีพิธีเปิดศาลากลางจังหวัดขอนแก่น หลังใหม่ โดยเลื่อนวันเร็วขึ้น คือจัดระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ถึง วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๖ ทั้งนี้เพื่อให้มีเวลาเตรียมสถานที่ประกอบพิธี คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานประกอบพิธีเปิดอาคารศาลากลางจังหวัดขอนแก่น (หลังใหม่) อย่างเป็นทางการ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ จึงมีเลื่อนการจัดงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดจังหวัดขอนแก่น ประจำปี ๒๕๔๖ เป็นวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน - ๘ ธันวาคม ๒๕๔๖ รวมเวลาจัดงาน ๑๒ วันเหมือนเดิม

   สำหรับการนับปีการจัดงาน หากนับการจัดงานเทศกาลไหม (ไม่รวมผูกเสี่ยว) ครั้งแรกจัดเมื่อปี ๒๕๒๒ จนถึงปัจจุบัน (๒๕๕๔) รวมทั้งสิ้น ๓๓ ปี หากนับปีที่เริ่มให้มีพิธีผูกเสี่ยวซึ่งเริ่มเมื่อปี ๒๕๒๓ ถึงปัจจุบัน คือ ปี ๒๕๕๔ จะเป็นปีที่ ๓๐ ซึ่งการจัดงานเทศกาลไหมฯ ๒๙ ครั้งที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงพิธีการ มหรสพ สถานที่และการละเล่นต่างๆไปตามยุคสมัย แต่วัตถุประสงค์ของการจัดงาน ยังคงเหมือนเดิม คือ

ประการที่ ๑ เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มพูนรายได้แก่ราษฎร

ประการที่ ๒ เพื่อส่งเสริมให้มีการเพิ่มผลผลิตจากไหม และพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ไหมให้มีมาตรฐาน เป็นที่เชื่อถือและแพร่หลายยิ่งขึ้น

ประการที่ ๓ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในครอบครัว และการผลิตสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ

ประการที่ ๔ เผยแพร่ความรู้ วิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางด้านการเกษตรอุตสาหกรรมและพาณิชย์ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมทั้งประชาชนทั่วไป

ประการที่ ๕ เพื่อผดุง รักษาศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนการละเล่นพื้นเมืองของภาคอีสาน

ประการที่ ๖ เพื่อเป็นการส่งเสริมกิจกรรม โครงการต่างๆ ตานโยบายรัฐบาล

ประการที่ ๗ เพื่อเป็นการหารายได้ให้จังหวัดและเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ ผู้เจ็บป่วยตลอดจนช่วยเหลือราษฎรผู้ยากไร้ในจังหวัด และการกุศลสาธารณต่างๆ ซึ่งเป็นภารกิจของจังหวัดโดยทั่วไป

วันพ่อแห่งชาติ


วันพ่อแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็น วันชาติ อีกด้วย

กิจกรรมวันพ่อแห่งชาติจัดติดต่อกันทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2523 โดยการริเริ่มของนายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา คุณหญิงเนื้อพิทย์ เสมรสุต สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันพ่อได้แก่ ดอกพุทธรักษา ซึ่งมีชื่ออันเป็นมงคล

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อขึ้นแห่งชาติ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคมที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็น "วันพ่อแห่งชาติ"

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลอยกระทง

วันลอยกระทง 2557

ลอยกระทง เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆ ที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆ กัน ในปีนี้ วันลอยกระทง ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2557
ประเพณีลอยกระทง มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่า ก็มีการลอยกระทงคล้ายๆ กับบ้านเรา จะต่างกันบ้าง ก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทง ก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้รวบรวมมาบอกเล่าให้ทราบกันดังต่อไปนี้
ทำไมถึงลอยกระทง
การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่ง ก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา
ลอยกระทง 2555
วัตถุประสงค์ของวันลอยกระทง
นอกจากนี้ ลอยกระทง ก็ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทง เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์ ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย
พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทง อาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้ว จึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำว่า ได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้ว ท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่า การลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษ และขอบคุณต่อแม่คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดี ที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ เพื่อขอบคุณที่บันดาลให้การเพาะปลูกของตนได้ผลดี รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง
ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อน เรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป
ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอก ของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่า เป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำ ตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลาย ตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศพระสนมเอก ก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษ ที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น ก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า “แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน


ตำนานและความเชื่อวันลอยกระทง
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้
เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง
กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวนหุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐาน และบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล
พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาค ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอม และดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำ เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆ มาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทง ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ในเรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน ประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลาย จึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา 3 เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัท พากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์ และนรกด้วยฤทธิ์ของพระองค์ คนจึงพากันลอยกระทง เพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า
สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตามประทีป เพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาด ลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรา มักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย
เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า
พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี” โดยกำหนดทางโหราศาสตร์ว่า เมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท และการรับเสด็จพระพุทธเจ้า ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน 12 หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง 2 เดือน)
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของพม่า
เล่าว่า ครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระประสงค์จะสร้างเจดีย์ให้ครบ 84,000 องค์ แต่ถูกพระยามารคอยขัดขวางเสมอ พระองค์จึงไปขอให้พระอรหันต์องค์หนึ่ง คือ พระอุปคุตช่วยเหลือ พระอุปคุตจึงไปขอร้องพระยานาคเมืองบาดาลให้ช่วย พระยานาครับปาก และปราบพระยามารจนสำเร็จ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงสร้างเจดีย์ได้สำเร็จสมพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 คนทั้งหลายก็จะทำพิธีลอยกระทง เพื่อบูชาคุณพระยานาค เรื่องนี้ บางแห่งก็ว่า พระยานาค ก็คือพระอุปคุตที่อยู่ที่สะดือทะเล และมีอิทธิฤทธิ์มาก จึงปราบมารได้ และพระอุปคุตนี้ เป็นที่นับถือของชาวพม่า และชาวพายัพของไทยมาก
เรื่องที่สี่ เกิดจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณในล้านนาว่า
เกิดอหิวาต์ระบาด ที่อาณาจักรหริภุญชัย ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่ไม่ตายจึงอพยพไปอยู่เมืองสะเทิม และหงสาวดีเป็นเวลา 6 ปี บางคนก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ครั้นเมื่ออหิวาต์ได้สงบลงแล้ว บางส่วนจึงอพยพกลับ และเมื่อถึงวันครบรอบที่ได้อพยพไป ก็ได้จัดธูปเทียนสักการะ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าวใส่ สะเพา ( อ่านว่า “ สะ - เปา หมายถึง สำเภาหรือกระทง ) ล่องตามลำน้ำ เพื่อระลึกถึงญาติที่มีอยู่ในเมืองหงสาวดี ซึ่งการลอยกระทงดังกล่าว จะทำในวันยี่เพง คือ เพ็ญเดือนสิบสอง เรียกกันว่า การลอยโขมด แต่มิได้ทำทั่วไปในล้านนา ส่วนใหญ่เทศกาลยี่เพงนี้ ชาวล้านนาจะมีพิธีตั้งธัมม์หลวง หรือการเทศน์คัมภีร์ขนาดยาวอย่างเทศน์มหาชาติ และมีการจุดประทีปโคมไฟอย่างกว้างขวางมากกว่า (การลอยกระทง ที่ทางโบราณล้านนาเรียกว่า ลอยโขมดนี้ คำว่า “ โขมด อ่านว่า ขะ-โหมด เป็นชื่อผีป่า ชอบออกหากินกลางคืน และมีไฟพะเหนียงเห็นเป็นระยะๆ คล้ายผีกระสือ ดังนั้น จึงเรียกเอาตามลักษณะกระทง ที่จุดเทียนลอยในน้ำ เห็นเงาสะท้อนวับๆ แวมๆ คล้ายผีโขมดว่า ลอยโขมด ดังกล่าว)
เรื่องที่ห้า กล่าวกันว่าในประเทศจีนสมัยก่อน
ทางตอนเหนือ เมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำจะท่วมเสมอ บางปีน้ำท่วมจนชาวบ้านตายนับเป็นแสนๆ และหาศพไม่ได้ก็มี ราษฎรจึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีเหล่านั้นเป็นงานประจำปี ส่วนที่ลอยในตอนกลางคืน ท่านสันนิษฐานว่า อาจจะต้องการความขรึม และขมุกขมัวให้เห็นขลัง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีๆสางๆ และผีก็ไม่ชอบปรากฏตัวในตอนกลางวัน การจุดเทียนก็เพราะหนทางไปเมืองผีมันมืด จึงต้องจุดให้แสงสว่าง เพื่อให้ผีกลับไปสะดวก ในภาษาจีนเรียกการลอยกระทงว่า ปล่อยโคมน้ำ (ปั่งจุ๊ยเต็ง) ซึ่งตรงกับของไทยว่า ลอยโคม จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญู ระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้า หรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชน ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง
ประเพณีลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่า ในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆ แห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำคลองไปด้วย

บุญกฐิน


การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธ

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิงสงส์กฐิน



     การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

        การทอดกฐินเป็นประเพณีอันดีงามของชาวพุทธที่ศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2,500 ปี กำเนิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐออกเดินทางไกล เพื่อไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เปรอะเปื้อนเปียกชุ่ม และเปื่อยขาดด้วยความเก่า พระบรมศาสดาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษารับผ้ากฐินได้หลังออกพรรษา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนผ้าเก่า ประเพณีทอดกฐินได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นและสืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน

การทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มหาศาล
 
        บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ ที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น ด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ คือ
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทำบุญทอดกฐิน เป็นบุญที่ถูกจำกัดด้วยไทยธรรม กล่าวคือ ของที่ถวาย
ต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น
1.) จำกัดด้วยเวลา คือต้องถวายภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษา 
2.)จำกัดชนิดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอื่นไม่ได้ 
3.)จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น 
4.)จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุรับกฐินได้จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้นครบไตรมาส (3 เดือน) และจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5.)จำกัดงาน คือ เมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น 

6.)จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ ไทยธรรมอื่นจัดเป็นบริวารกฐิน เกิดจากพุทธประสงค์ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้ากฐินเพื่อพลัดเปลี่ยนไตรจีวรเก่า แต่ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้อนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาต ถวายผ้าอาบน้ำฝน
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน 
ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้

การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำ 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

เขตกำหนดทอดกฐิน
การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ไม่จัดเป็นการทอดกฐิน

แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้


        นอกจากนี้การทอดกฐินยังเป็นทานที่พิเศษ คือ ทั้งพระภิกษุและญาติโยมผู้ทอดกฐินได้อานิสงส์ด้วยกัน การทอดกฐินจึงเป็นบุญใหญ่ ที่ผู้ให้ (คฤหัสถ์) และผู้รับ (พระภิกษุสงฆ์) ต่างก็ได้บุญ
ทั้ง 2 ฝ่าย

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน

อานิสงส์กฐิน - ความหมายของคำว่า ทอดกฐิน
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

 


การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน 
    กฐินทาน คือ การถวายผ้าให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ได้ดำรงตนอยู่ในกรอบแห่งศีล สมาธิ(Meditation) และปัญญา ผ่านการอยู่จำพรรษาตลอดฤดูฝน ณ อารามใดอารามหนึ่ง นับว่าเป็นกาลทานอันยิ่งใหญ่ ย่อมก่อให้เกิดอานิสงส์มากมายแก่ผู้ทอดถวาย
     คำว่า กฐิน แปลว่า สะดึง หมายถึง ไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง มีทั้งรูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เมื่อขึงผ้าด้วยสะดึงแล้วจะทำให้เย็บผ้าได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกความหมายหนึ่งนั้น หมายเอาผ้าจีวรที่ถวายแด่พระสงฆ์ที่อยู่ประจำอารามจนครบพรรษา คำว่า ทอดกฐิน จึงหมายถึง การน้อมนำผ้าจีวรมาวางทอดลง เพื่อถวายแด่ภิกษุสงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใด เทศกาลทอดกฐินจะเรียกอีกแบบ คือ ฤดูกาลเปลี่ยนผ้าใหม่ของพระภิกษุ โดยในอดีตกาล ยุคต้นที่พระพุทธศาสนาเริ่มบังเกิดขึ้น ผ้าที่ภิกษุได้มานั้นเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหรือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพในป่าช้า หรือผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองหยากเยื่อ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผ้าในยุคนั้นเป็นของมีค่าหาได้ยาก การที่ภิกษุแสวงหาผ้าที่ไม่มีผู้หวงแหน นำมาใช้นุ่งห่ม จึงแสดงถึงความสันโดษมักน้อยของนักบวชผู้มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น

     อีกประการหนึ่ง จะได้ไม่เป็นที่หมายปองของพวกโจร จะได้ไม่ถูกขโมยหรือถูกโจรปล้นชิงไป เพราะผู้คนในสมัยนั้น รังเกียจผ้าผุปะหรือผ้าเก่าๆ ถือว่าเป็นผ้าเสนียด จึงไม่มีใครอยากได้ แต่มาภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าที่คหบดีนำมาถวายได้ เนื่องจากหมอชีวกได้กราบทูลเพื่อที่จะถวายผ้าแด่พระภิกษุ เพราะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายมีความลำบากในการแสวงหาผ้าเป็นอย่างยิ่ง

รูปแบบของจีวร
     รูปแบบของจีวรนั้น เกิดขึ้นจากพระดำริของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงชี้ให้พระอานนท์แลดูคันนาของชาวมคธ และให้ออกแบบตัดเย็บโดยใช้แผ่นผ้าหลายชิ้นนำมาเย็บต่อๆ กันเป็นขันธ์ คล้ายคันนา เพื่อให้เป็นผ้ามีตำหนิไม่มีใครอยากได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้จีวรมีห้าขันธ์ขึ้นไป สำหรับจีวรในปัจจุบันมี 5 ขันธ์นับเฉพาะแนวตั้ง เรียกว่า มณฑล ส่วนขันธ์ย่อยเรียกว่า อัฑฒมณฑล
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน 
     จีวรที่พระภิกษุใช้สอยกันในสมัยก่อนนั้น จะต้องวัดแต่ละชิ้นให้ได้สัดส่วน แล้วทำการตัดเย็บและย้อมเองซึ่งเป็นเรื่องยากและลำบากอย่างยิ่งสำหรับพระภิกษุ โดยวัสดุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้นำมาย้อมผ้าจีวรได้ คือ

1.รากไม้
2.ต้นไม้
3.ใบไม้
4.ดอกไม้
5.เปลือกไม้
6.ผลไม้
สีของจีวรที่นิยมนำมาทำเป็นผ้ากฐิน
     สีที่นิยมใช้ คือ สีเหลืองเจือแดง สีเหลืองหม่น หรือสีกรัก
     ส่วนสีที่ห้ามใช้ได้แก่ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด สีชมพู และสีดำ
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน

     เมื่อเย็บและย้อมเสร็จแล้วก็ต้องอธิษฐานให้เป็นผ้าครองต่อไป แต่ก่อนจะนำมานุ่งห่มก็จะต้องพิจารณาผ้าเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ โดยเมื่อสำเร็จเป็นจีวรแล้ว พระภิกษุจะใช้สอยและเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพราะถือว่าผ้าจีวรนั้นเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เมื่อพระภิกษุได้ผ้าจีวรผืนใหม่แล้ว ผ้าผืนเก่าก็จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น นำมาทำเป็นผ้าดาดเพดาน เมื่อผ้าดาดเพดานเก่าก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูฟูก ผ้าปูที่นอนผืนนั้นเมื่อเก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพื้นที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดเท้าที่เก่าแล้วก็จะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลีที่เก่าแล้วก็จะนำมาโขลกให้แหลกแล้วขยำกับโคลน เพื่อฉาบทาฝากุฏิ

     ดังนั้น ผ้ากฐินที่ได้ถวายพระภิกษุสงฆ์ไปแล้ว ย่อมเกิดประโยชน์สูงสุด จึงก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ผู้ทอดถวายมากมาย

ประวัติการรับผ้ากฐิน และอานิสงส์กฐิน (โดยย่อ)

        สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ จำนวน 30 รูป เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน แต่เมื่อถึงเมืองสาเกตุยังไม่ทันถึงกรุงสาวัตถีก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน จึงต้องเข้าจำพรรษาในระหว่างทาง ในระหว่างนั้น ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐมีใจระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า “เราแม้อยู่ห่างจากสาวัตถีเพียงหกโยชน์ แต่พวกเรากลับไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์”

        ครั้นล่วงสามเดือนแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้ทำการปวารณาซึ่งกันและกันในวันมหาปวารณา ในตอนนั้นแม้ออกพรรษาแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่ พื้นดินชุ่มไปด้วยน้ำและโคลน ภิกษุเหล่านั้นรีบเร่งเดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้สบงจีวรที่ท่านนุ่งห่มเปียกปอนเปรอะเปื้อนและเปื่อยขาด กว่าจะเดินทางมาถึงวัดพระเชตวันก็ได้รับความลำบากเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวัดพระเชตวันแล้ว ยังมิทันได้พักเลย ภิกษุเหล่านั้นก็รีบเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งจีวรที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน
การทำบุญทอดกฐินและการถวายผ้ากฐิน สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริขึ้นด้วยพระองค์เอง
        พระพุทธองค์ทรงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นในเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพร่างกายว่า “จำพรรษากันผาสุกดีอยู่หรือ ทะเลาะวิวาทกันบ้างหรือไม่ อาหารบิณฑบาตพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ”

        ภิกษุทั้งหลายได้ทูลตอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จำพรรษาด้วยความผาสุก พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ยังมีความพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันและไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต”

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นจีวรของภิกษุทั้งหลายเก่าและขาด จึงทรงมีพุทธานุญาตให้รับผ้ากฐินได้ แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว โดยให้ภิกษุที่ได้รับผ้ากฐินแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ
การทอดกฐินและประเพณีการทอดกฐิน

การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน 

อานิสงส์กฐินสำหรับพระ

1.เที่ยวไปสู่ที่สงัด เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมได้ตามสะดวก โดยไม่ต้องบอกลา
2.เที่ยวไปได้ โดยไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ
3.ฉันคณะโภชนะได้ คือ ฉันภัตตาหารร่วมโต๊ะหรือร่วมวงฉันด้วยกันได้
4.ทรงอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา คือ รับผ้าจีวรได้มากผืน
5.จีวรที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ คือ หากได้ผ้าจีวรมาเพิ่มอีก ก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้ไม่ต้องเข้าส่วนกลาง 

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

กีฬาที่ฉันชอบคือ......และไอดอลคือ.....

                   กีฬาวอลเลย์บอล

  
12345

ปัจจุบัน กีฬาวอลเล่ย์ ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะประเทศไทยบ้านเราก็มีความสนใจกันมากพอๆกับฟุตบอลเลยทีเดียว เพราะทีมกีฬาวอลเล่ย์ของบ้านเราติดอันดับ 15 ของประเทศและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศเราไม่น้อยเลยทีเดียว แถมยังเล่นได้อย่างสนุก มันส์ เร้าใจ จนแทบไม่ละสายตากันอีกด้วย
กีฬาวอลเลย์บอลได้รับการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง มีการแข่งขันทั้งประเภทในร่ม และชายหาด มีกฎกติกาการแข่งขันที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฉบับรูปแบบของการเล่น เพื่อให้การแข่งขันแต่ละประเภทมีประสิทธิภาพ และยุติธรรม ได้รับเสียงตอบที่ดีจากผู้ชมและเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ควรพลาด การแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นการแข่งขันที่สามารถทำเป็นอาชีพได้ ส่วนใหญ่มืออาชีพจะต้องแลกมาด้วยการฝึกฝนอย่างหนักและซ้อมตลอดทั้งวัน เพื่อฝึกในเรื่องของสายตา และไหวพริบ รวมถึงกำลังกาย กำลังใจ ที่พร้อมจะรับมือกับทีมฝ่ายตรงข้ามได้นั่นเอง
พื้นฐานบุคคลที่จะเล่นกีฬาวอลเลย์บอล ในสำหรับการแข่งขันตามโรงเรียนหรือทั่วไป อาจจะไม่จำกัดความสูงไม่มาก แต่สำหรับมืออาชีพ ความสูงถือเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งร่างกายที่มีความแข็งแรงไม่ผอมจนเกินไป เช่นเดียวกับกีฬากีฬาบาสเกตบอล ที่ไม่ได้มีดีแค่ตัวสูง แต่จะต้องมีทั้งทักษะ ความคิด และลูกเล่นที่จะต้องค้นหาอยู่เสมอ การแข่งขันระดับนานาชาติวอลเลย์บอล จะมีการจัดในรูปแบบการแข่งขัน Olympic Games หรือระดับทวีป เช่น Asian Games หรือในภูมิภาค เช่น SEA Games เป็นต้น
สามารถใช้เป็นกีฬาเพื่อสุขภาพได้ และเล่นกับเพื่อนๆได้อย่างสนุกสนาน ถ้าอย่างใช้กีฬาวอลเลย์บอลให้เป็นตัวเสริมร่างกายที่ดี ก็ควรจะคำนึงถึงในเรื่องของการโภชนาการและการพักผ่อน SBO ควรออกกำลังกายให้เหมาะสม ฝึกฝนการเคลื่อนไหวในทิศทางที่หลากหลาย รวดเร็ว และศึกษาเรื่องการวางแผน และการร่วมงานกันเป็นทีม ทำให้เรามีความเป็นผู้นำ และมีร่างกายทนทานต่อแรงกระแทก เป็นกีฬาที่จำเป็นต้องอาศัยหลักการทางชีวกลศาสตร์การกีฬา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของมุม ทิศทาง ความเร็วและอัตราเร่งของคนกับลูกวอลเลย์ ยังไงแล้ว หากใครที่สนใจอยากจะลองเล่นกีฬาวอลเล่ย์อย่างจริงจัง ก็ให้ควรลองไปฝึกฝนขั้นพื้นฐานดังกล่าวมาก่อนนะครับ ก่อนจะค่อยๆขยับไปเรื่อยๆเพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ดาราที่ชอบ

  • สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว
  • บี้
  • Friday, April 09, 2528
  • โสด
  • 29 ปี
  • 175 ซม.
  • 66 กก.
  • นักร้องและนักแสดง
  •                                                          

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

งานศิลปะ

ผลงาน วิเชษฐ จันทรนิยม
ได้เห็นภาพแล้วคิดถึงนักแล ลุ่มแม่น้ำท่าจีน - แม่กลอง คลองที่ได้ไปล่องเรือมา ลูกลำพูที่เอื้อมมือเก็บ น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยวไฟจากเตาถ่าน ลูกจากเฉาะกินเนื้อหวานใส น้ำใจจากชาวคลอง หรือแม้กระทั่งแสงอันน้อยนิดของหิ่งห้อย
ศิลปินบันทึกเอามาฝากกันคนละหลายมุม ผ่านภาพเขียนของพวกเขา ทั้งสีน้ำ สีอะคริลิค ตลอดจนเทคนิคสีน้ำมัน เห็นภาพแล้วทำให้นึกถึงบรรยากาศจริง ขณะเดียวกันก็ฝันไปได้ไกลกว่า เพราะพลานุภาพแห่งศิลปะนำพานั่นเอง
ผลงาน โกศล พิณกุล
ตุลาคมปีที่แล้ว ศิลปินพร้อมใจกันลงพื้นที่ ศึกษาสภาพธรรมชาติ วิถีชีวิต ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น ณ จังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับ คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ในนาม “เครือข่ายวิจัยบูรณาการลุ่มแม่น้ำท่าจีน – แม่กลอง” ซึมซับในสิ่งที่ตาเห็น และใจได้สัมผัส มาถ่ายทอดผ่านงานศิลปะ
มิได้มุ่งหวังให้คนชมภาพเขียนได้รับอรรถรสจากการชมเพียงอย่างเดียว แต่หวังจะกระตุ้นให้ทุกคนได้เห็นค่าใน “แบบ” ของสิ่งพวกเขาเลือกมาถ่ายทอด เพื่อจะได้ร่วมกันต่อยอดหาแนวทางในการพัฒนาสิ่งนั้นร่วมกันต่อไปอย่าง “ยั่งยืน”
ผลงาน กาพย์ หอมสุวรรณ์
งานศิลปะมีส่วนสำคัญยิ่งในการพัฒนาและกล่อมเกลาจิตใจของมนุษย์ ก่อให้เกิดจินตนาการและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งงานศิลปะยังสามารถสื่อคุณค่าและความหมายให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนทั่วไปได้ทุกเพศทุกวัย
ผลงาน บุญชนะ ไชยจิตร
นี่กระมังคือเหตุผลที่เหล่าหัวหอกนักวิจัย เลือกศิลปะมาเป็นสื่อเชื่อมความคิดอีกทาง นอกเหนือจากวงเสวนาเครียดๆ และตำราเล่มหนัก
55 ภาพเขียนจากแรงบันดาลใจของศิลปิน 22 ท่าน กาพย์ หอมสุวรรณ์,ธนะ เลาหะกัยกุล,ธงชัย รักปทุม,โกศล พิณกุล,อิงอร หอมสุวรรณ์,กัญญา เจริญศุภกุล,พิษณุ ศุภนิมิตร,ปรีชา เถาทอง,ถาวร โกอุดมวิทย์,ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง,ธรรมนูญ เรืองสวัสดิ์,วิเชษฐ์ จันทรนิยม,รุ่งพันธุ์ บุรุษชาติ,นุกูล ปัญญาดี
ผลงาน ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง
ตลอดจน พีระ ศรีอันยู้,สุวัฒน์ วรรณมณี,บุญชนะ ไชยจิตต์,อรัญ หงส์โต,เสงี่ยม ยารังสี,อภิรักษ์ ปันมูลศิลป์,ชวลิต เทียมอัมพรและสมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ ที่กำลังจัดแสดงให้ชม ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ธนาคารกรุงเทพสาขาผ่านฟ้า อาจไม่ได้หมายถึงความสำเร็จของเป้าหมายที่ตั้งไว้
แต่เป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมผลักดันและสานต่อไปสู่เป้าหมาย ที่คณะนักวิจัยและทีมงานวาดหวังผ่านในนามโครงการ “การสื่อสารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน : ศิลปะกับวิถีชีวิตชุมชนลุ่มน้ำท่าจีน – แม่กลอง
ผลงาน อภิรักษ์ ปันมูลศิลป์
ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง หนึ่งในจำนวนศิลปินกล่าวถึงภาพของผลไม้พื้นถิ่นอย่างชมพู่มะเหมี่ยว และสาแหรก ที่เขาเลือกวาดว่า อยากให้คนชมได้รับเอาความรู้สึกของความเป็นชนบทอันมีชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งผลไม้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายได้ เจ้าตัวอุตส่าห์เวียนกลับไปยังสมุทรสงครามอีกครั้ง โดยหาซื้อผลไม้ทั้งสองชนิดจากตลาดน้ำอัมพวามารับประทาน
“อยากสื่อไปถึงชีวิตที่เรียบง่าย ชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ผมวาดภาพนี้อาทิตย์กว่าๆ และทำกรอบด้วยตัวเองอีก 3-4 วัน โดยใช้เชือกคล้ายๆเสื่อทำกรอบ ภาพนี้ถ้าจะให้ดีต้องดูกรอบด้วย” เขาว่า เพราะงานชิ้นจริงนั้นแสดงถึงความคิดองค์รวมทั้งหมดของเขาได้มากกว่า
ผลงาน นุกูล ปัญญาดี
ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ได้ไปลงพื้นที่ศึกษาวิถีชีวิตผู้คนลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่กลอง แม้จะในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม ไพรวัลย์ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า
โดยส่วนตัวผมรู้สึกเป็นห่วงเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าความเจริญ เทคโนโลยี ตลอดจนโรงงานต่างๆ มีผลต่อสภาพแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำแม่กลองเหมือนกัน ผมยังมีความรู้สึกว่า ลุ่มแม่น้ำแม่กลองถ้าถูกพัฒนาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกที่ควรจะดีมากๆ
ผลงาน สุวัฒน์ วรรณมณี
จนถึงวันนี้ผมเองก็ยังประทับใจในธรรมชาติที่ได้ไปสัมผัสมา อย่างเช่น หิ่งห้อยในคุ้งน้ำยามค่ำคืน เป็นต้น ขณะเดียวกันยามที่ได้ไปเห็นขยะเกยตื้นขึ้นมาทับถมตรงปากแม่น้ำ ก็ต้องยอมรับว่าเศร้าใจ”
ผลงาน ถาวร โกอุดมวิทย์
ใครที่เท้าไม่เคยได้เหยียบดิน ตาไม่เคยแหงนหน้ามองดูดาว เช้าก็ต้องรีบไปทำงาน ลองหาเวลาไปสัมผัสและรับเอาความรื่นรมย์ของวิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง ผ่านภาพเขียนของศิลปินดูสักครั้ง ไม่แน่คุณอาจจะอยากมีส่วนช่วยดูแลทุกชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้น ณ ลุ่มน้ำแห่งนั้น ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ความเป็นมาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

            วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี ให้มีวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" วันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้เป็นเพราะพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ ต่อไปมาศึกษาที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ที่มาของชื่อ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

            ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาติให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึง วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
 
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2556

รัชกาลที่ 4 กับวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทยในที่สุดพระองค์ทรงได้ค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า "ปฏิทินปักขคณนา" (ปักขคณนาคือวิธีนับปักข์หรือรอบครึ่งเดือนของข้างขึ้นข้างแรม เป็นวิธีนับที่แม่นยำสูง) และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ทำปฏิทินจันทรคติพระทุกปี แทนปฏิทินฆราวาส ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงค้นคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดานไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อจะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ และมีชื่อเรียกว่า "กระดานปักขคณนา" ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง และถือเป็นเหตุของที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอีกทางหนึ่ง 
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง, วันวิทยาศาสตร์ 2554

ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง

ดาราศาสตร์ไทยและวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

            ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงชัย ในบริเวณพระนครคีรีหรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลาพระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2395 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์ 
โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์
  
โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ 

ทรงพิสูจน์ผลการคำนวนทางดาราศาสตร์-วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 

            ต่อมาใน วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชจากท่านิเวศวรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพารจำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวนของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 
ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง-ที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 
            โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึง ปราณบุรี และลงไปถึง จังหวัดชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว 
 
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า
 
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า
ที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
          เหตุการณ์ดังกล่าว เซอร์แฮรี ออด ได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ไว้ และเมื่อ พ.ศ.2518 หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้ทำการแปลเป็นภาษาไทยในงานหว้ากอรำลึก ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้" 

            ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับเอาศิลปวิทยาการ และความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์  
 
สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2554
 
สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

สถาปนาวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

          ทั้งนี้ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคม เป็น วันวิทยาศาสตร์ ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"  พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ เนื่องในการสถาปนาวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 

          ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ เพื่อเป็นการระลึกถึงบิดาแห่งวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 
 
ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก
 
ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 8
 
            เนื่องจากวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า "หอชัชวาลเวียงชัย" ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวงคือ
ดาวหางฟลูกเกอร์กูส วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัย พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกฏมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์สามารถทรงนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า " ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" แจ้งแก่ประชาชน"
ดาวหางโดนาติ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
     ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ 2401 และคืนต่อๆมา จนถึงวันที่ 4มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา ๙ เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2401 ดาวหางดังกล่าวมีลักษณะเป็น 2 หาง หางหนึ่งเหยียดตรง อีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้งสวยงามอยู่ราว 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตื่นเต้นไปตามคำลือต่างๆ จึงทรงออกประกาศเตือนชื่อว่า "ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ มีความว่า "ดาวหางนี้ชาวยุโรปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนี้มีคติแลทางยาวไปในท้องฟ้า แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศทั้งนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน และคิดวิตกเล่าลือไปต่างๆ ด้วยว่ามิใช่จะเห็นแต่ในพระนครนี้ และเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิ ได้ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมืองทั่วพิภพอย่างนี้แล"
 
นิทรรศการวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
 
นิทรรศการวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ดาวหางเทพบุท วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

     ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet ) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่า จะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้า มิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้เพราะพระองค์ มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์
 
        นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2527 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18 - 24 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ จนได้รับความสนใจเข้าร่วมงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้ ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เพราะมีเหตุมาจากวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันที่ 18 - 24 สิงหาคม
 
ร่วมกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
 
ร่วมกิจกรรมในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ความหมายของคำศัพท์ในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
    วิทยาศาสตร์ หมายถึง
 
        วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตรวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว
 
        การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอนได้พยายามคิดค้นวิธีมาตรฐานในการอุปนัย เพื่อนำมาใช้สร้างทฤษฎีหรือกฎต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ทดลองหรือสังเกตได้จากธรรมชาติ
 

ภาพกิจกรรมเนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 

กิจกรรมวันงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 2554
 
กิจกรรมวันงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
 
 
ร่วมกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ2554 กันดารานักแสดง
 
ร่วมกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติกันดารานักแสดง